Posts Tagged ‘เส้นใยสังเคราะห์’
ลักษณะการหดตัวของผ้าและเสื้อยืด
ช่วงนี้ลูกค้าจากย่านรามคำแหง, ลาดพร้าว, มีนบุรี, นวมินทร์ แวะมาซื้อเสื้อยืดที่ร้านผู้เขียนเยอะเป็นพิเศษ น่าจะเป็นเพราะใกล้ช่วงเทศกาล ลูกค้ามาซื้อเสื้อเตรียมตัวไปเที่ยวกัน อิ อิ อิ (น่าอิจฉาเนาะ ส่วนผู้เขียนอยู่เฝ้า กทม กลัวหาย -__-!!!)
ลูกค้าที่มาซื้อเสื้อยืดที่ร้านมักจะถามคำถามยอดนิยมคล้ายๆ กันก่อนซื้อเช่นว่า “ผ้าหดไหม?”
ผู้เขียนก็มักจะตอบด้วยความซื่อบื้อและความสัตย์จริงว่า “หดครับ!”
ได้ยินแบบนี้ บ้างก็ซื้อ บ้างก็เปลี่ยนใจ 555
ก็มันจริงนี่นา ตะเอง!
——–
——–
ว่ากันตามประสบกาม เอ้ย! ประสบการณ์การของเขียนแล้วผ้าทุกอย่างหดตัวหมดครับ
ผ้าอย่างเดียวที่ไม่หดคือ “ผ้าป่า (สามัคคี)”
คงไม่ต้องสาธยายถึงลักษณะของผ้าป่าที่มาเป็นซองๆ วางอยู่บนโต๊ะที่ทำงานของเพื่อนๆ นะครับ 555 เป็นซองแบนๆ เนื้อละเอียด มีประทับตราวัดเพื่อความสวยงามและขลัง พร้อมทั้งอัดแน่นด้วยเนื้อบุญอยู่ด้านในซอง 555 ผ้าแบบนี้ไม่มีหดครับ! มีแต่เพิ่ม (ไม่เชื่อลองใส่ผ้าป่าซักซอง เดี๋ยววันถัดมาจะขยายตัวเพิ่มเป็น 2 ซองวางอยู่บนโต๊ะทำงานเพื่อนๆ 555 ลองมาแล้ว!)
นอกนั้นผ้ามีการหดตัวครับ
ผ้าเส้นใยใหญ่กว่าก็มีอัตราการหดตัวน้อยกว่าผ้าเส้นใยเล็กกว่า
ผ้าเส้นใยธรรมชาติคอตต้อนก็หดตัวน้อยกว่าเส้นใยสังเคราะห์
ผ้าเส้นใยสังเคราะห์ปกติทั่วไปก็หดน้อยกว่าผ้าเส้นใยสังเคราะห์สารยืดหรือพวก spandex ต่างๆ เป็นต้น
เช่นเสื้อยืดผ้าคอตต้อน100% เบอร์ 20 ซึ่งทอด้วยเส้นใยที่ใหญ่กว่ามีอัตราการหดตัวน้อยกว่าเสื้อยืดผ้าคอตต้อน100% เบอร์ 32 ที่ใช้เส้นด้ายเบอร์เล็กกว่า (เบอร์เส้นด้ายยิ่งมาก เส้นด้ายยิ่งเล็ก)
เสื้อยืดผ้า TK ที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์โพลี 100% ก็มีอัตราการหดตัวมากกว่าเสื้อที่ตัดเย็บจากผ้าฝ้ายธรรมชาติคอตต้อน 100% เป็นต้น
ครั้นจะบอกว่าผ้าไม่หดนั่นก็ดูจะไม่ซื่อสัตย์ไปหน่อยนะตัวเธอว์
ซึ่งถ้าเรามาดูหลักความจริงตามเหตุผลแล้ว การหดตัวของผ้าส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเป็นสิ่งที่รับได้
สาเหตุการหดนั้นก็อาจจะมาจากหลายๆ ปัจจัยหลายๆ เหตุผล เช่น
ลักษณะเส้นใย – เป็นเส้นใยธรรมชาติหรือเส้นใยสังเคราะห์? (เส้นใยสังเคราะห์ก็คือพลาสติกดีๆนี่แหละแต่ผ่านกรรมวิธีการผลิตอันสลับซับซ้อนผสมสารพิเศษต่างๆ รีด กรอง หลายรอบจนออกมาเป็นเส้นใยสำหรับกิจกรรมสิ่งทอ)
ขบวนการผลิต – การทอกี่รอบ? กี่กรัมต่อตารางฟุต? ต่างๆ นาๆ บางครั้งมองภายนอกเหมือนกันทั้งลักษณะผ้าและความยาวแต่เครื่องจักรทอผ้าสมัยนี้พัฒนาไปมากจนมีรูปแบบการทำงานที่เลือกได้ว่าใช้ความหนาแน่นมากน้อยแค่ไหน (รายละเอียดเชิงลึกว่ากันอีกทีนะจ๊ะ ตัวเธอว์) หรือการอบหลังจากย้อมสี ต่างๆ เป็นต้น
อุณหภูมิสภาพแวดล้อม – ร้อน เย็น? (ขนาดไม้เนื้อแข็งยังหดตัวนับประสาอะไรกับผ้า)
การตัดเย็บ – มีการเผื่ออัตราการหดมากน้อยแค่ไหน? ฝีเข็มเป็นยังไง?
ปัจจัยเหล่านี้มีผลต่ออัตราการหดของผ้าครับ
การหดตัวของผ้านั้นถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ มีหดบ้างซึ่งก็ว่ากันตามลักษณะของผ้าแต่ละชนิด โดยทั่วๆไปแล้วถือว่ารับได้ ไม่ได้เลยร้ายอะไรเลย เป็นเรื่องที่ทราบกันดีของฝั่งผู้ผลิตเสื้อผ้าและโรงงานทอผ้า ผ้าหดมากน้อยก็ว่ากันไปตามเหตุผล เสื้อที่เราใส่ๆอยู่ก็หด แต่อาจจะเล็กน้อยจนเราไม่รู้สึกตัวก็เป็นได้
แต่….. (ทำคิ้วขมวด หน้าตาจริงจังกับชีวิต!)
ถ้าหากเพื่อนๆ ซื้อผ้ามาจากโรงงานมาตัดเย็บเสื้อผ้าแล้วหดหนักถึงขั้นตัดชุดแซคแล้วผ้าหดเหลือเท่าเสื้อครอปครึ่งตัวหละก็น่ะ!
บอกพิกัดที่ตั้งและเลขบัญชีมาเลย!
พร้อมโอน!
จะซื้อมาตัดเสื้อกล้ามให้น้องเมียกับเพื่อนน้องเมียใส่เส้นน้ำสงกรานต์หน้าบ้านปีนี้ 555
หามานานผ้าสเปคเทพขนาดนั้น 555 -__-!!!
ส่วนวิธีแก้ไข ป้องกันหรือลดอาการหดของผ้านั้นก็มีหลายวิธีครับ ว่ากันไปตามลักษณะการทำงาน ซึ่งในส่วนของผู้เขียนที่เป็นร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ตัดเย็บเสื้อยืดนั้นก็มีวิธีทำงานหรือวิธีแก้ปัญหาในแบบของฝั่งผลิตเอง ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไร
เช่น
ถ้าผ้าบางหรือยืดก็จะตัดเผื่อหดมากหน่อย
ถ้ารู้ตัวว่าทำงานกับผ้าบาง เช่น ฮานาโกะ ชีฟอง (บ้างไม่ฟองบ้าง) ที่บางมากๆ ยืดมากๆ ก็อาจจะปูผ้าแล้วทิ้งค้างไว้ซัก 1 คืนเพื่อให้ผ้าอยู่ตัว คงสภาพ ประมาณว่า หดเต็มที่พรุ่งนี้เจอกัน อะไรทำนองนั้น!
หรือถ้าทำงานกับผ้าที่บางๆ พริ้วๆ ยืดๆ (เย็บยากๆ นั่นแหละ!) ก็อาจจะต้องทำแพทเทิ่นพิเศษที่เผื่อการหดของผ้าและการเย็บโพ้งกินผ้ามากขึ้นกว่าปกติ เช่นจาก ½ นิ้วก็เป็น 6/8 นิ้วอะไรทำนองนั้นซึ่งก็ว่ากันไปตามลักษณะของผ้า
สรุปเลยละกัน (ง่วงนอนละ -__-!!!)
โดยรวมสำหรับเสื้อผ้าทั่วๆ ไป เสื้อยืด เสื้อโปโลแล้วก็มีการหดตัวบ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นปัญหาหลัก
วิธีตรวจสอบเนื้อผ้าเบื้องต้น
อุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มนั้นเป็น 1 ในอุตสาหกรรมหลักที่เกี่ยวพันกับปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตของมนุษย์เรา จึงเป็นเรื่องปกติที่การพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอจะรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการที่เป็นพื้นฐาน (และไม่พื้นฐาน) ของมนุษย์เรา หนึ่งในการพัฒนาที่สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอก็คือการพัฒนาเส้นใย จึงทำให้เส้นใยในการผลิตเสื้อผ้า สิ่งทอในตลาดปัจจุบันนั้นมากประเภทกว่าเดิม ซึ่งแต่เดิมนั้นมีเพียงหลักๆ คือเส้นใยที่ได้จากธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย (Cotton) และผ้าจากเส้นใยสังเคราะห์ที่ได้จากการแปรรูปน้ำมัน เช่น ผ้าโพลี (Polyester) กลายมาเป็นเส้นใยผสมต่างๆ นาๆ ที่มีความสลับซับซ้อน
สำหรับผู้เขียนและเพื่อนๆ ที่ทำงานหรือมีอาชีพเกี่ยวข้องกับกระบวนการทำเสื้อผ้าต่างๆ เช่น ตัดเย็บ สกรีนลวดลาย ปัก หรือแม้แต่การตัด การรู้จักเนื้อผ้าถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเนื่องจากเนื้อผ้าแต่ละชนิดก็ต้องการการปฏิบัติที่ต่างกันออกไป เช่นผ้าไม่ยืดอย่าง Cotton 100% หรือผ้าผสมต่างๆ เนื้อผ้าแบบ TC เนื้อผ้าแบบ TK ซึ่งเนื้อผ้าจะออกยืดๆ เนื่องจากมีส่วนผสมของผ้าใยสังเคราะห์มาปนด้วย หากเพื่อนๆ ที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสคลุกคลีกับแวดวงเสื้อผ้าก็คงจะดูลำบากว่าที่คนขายพูดๆ นั่นนะ Cotton แท้รึเปล่า ใส่สบายจริงรึเปล่า (ซึ่งบางคนจะแพ้ใยสังเคราะห์ เช่นผู้เขียนเป็นต้น -__-!!! เป็นโรคคุณหนู)
เพราะขนาดผู้เขียนเองที่คลุกคลีกับธุรกิจเสื้อผ้ามาเป็นเวลาหนึ่งทั้งจากงานประจำและงานอาชีพเสริมก็ยังมีผิดพลาดในเรื่องเนื้อผ้า เพราะเดี๋ยวนี้ตลาดเสื้อผ้าไปไวเหลือเกิน จนบางครั้งต้องจ่ายเงินซื้อของถูกในราคาแพง เกิดความเสียหายในการค้าขึ้นมาได้ เลยเกิดกังวลแทนเพื่อนๆ ที่อยากจะเข้ามาทำธุรกิจการค้าในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม
เป็นห่วงนะ พูดง่ายๆ!
ไม่อยากให้ถูกเอาเปรียบเหมือนผู้เขียนตอนเริ่มทำการค้าใหม่ๆ!
โดนคนอื่นเอาเปรียบนี่ มันน่าเจ็บใจนะเพื่อนๆ ว่าไหม!
เลยเอาวิธีตรวจสอบผ้าง่ายๆ เบื้องต้นที่ผู้เขียนชอบใช้มาแบ่งปันเพื่อนๆ เผื่อจะพอมีประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย
วิธีที่ผู้เขียนใช้ประจำก็คงจะหนีไม่พ้นการเผาผ้า ฟังไม่ผิดนะ!
เผาผ้าจริงๆ
** ตัดมานิดเดียวพอจะ ไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องถึงกับเผาทั้งตัวนะเตง -__-!!! **
** ถ้าไม่รู้จะตัดตรงไหน ก็บริเวณชายเสื้อด้านในละกันเนอะ! **
** เผาผ้าเพื่อดูองค์ประกอบนะ ไม่ใช่เล่นของ ไม่ต้องร่ายมนต์ -__-!!! **
** หากเป็นเส้นใยธรรมชาติ เส้นใยจะเป็นขี้เถ้าสลายได้ กลิ่นคล้ายกับกระดาษ **
การเผาผ้าเพื่อดูขี้เถ้านั้นหลักๆ ก็เพื่อดูว่าผ้าชนิดนั้นเป็นผ้าเส้นใยธรรมชาติ เช่น Cotton 100% หรือว่าใยสังเคราะห์ บางท่านดูชำนาญขนาดรู้อัตราส่วนผสมเลยก็มีนะ เคยเห็นเหมือนกัน ห้องแล็ปพิสูจน์ผ้านี่อายเลยนะ อะไรจะเก่งปานนั้น -__-!!!
(ส่วนผู้เขียนนั้นมือสมัครเล่น ไม่ต้องห่วงเลย -__-!!!)
การเผาเศษผ้าเพื่อดูขี้เถ้าและกลิ่นนั้น ดูง่ายๆ และหลักๆ คือหากผ้าชนิดนั้นเป็นเส้นใยธรรมชาติหรือจำพวกผ้าฝ้าย Cotton จะมีลักษณะขี้เถ้าจะไม่จับตัวเป็นก้อนและกลิ่นจะเหมือนการเผากระดาษ
แต่ถ้าเป็นประเภทเส้นใยสังเคราะห์นั้นขี้เถ้าจะจับตัวเป็นก้อนดำๆ แข็งๆ และกลิ่นจะคล้ายกับการเผาขวดพลาสติก กลิ่นจะแรงจะเบาขึ้นอยู่กับส่วนผสมเส้นใยสังเคราะห์ในผ้าชนิดนั้นๆ
แล้วทำไมต้องมานั่งเผาเล่นให้เสียเวลาหละ?
มันต่างกันตรงไหน?
ต่างกันที่ราคาและคุณสมบัติของเนื้อผ้านั้นแหละครับ
ผ้าเส้นใยสังเคราะห์จะมีราคาถูกกว่ามากเมื่อเทียบกับผ้าเส้นใยธรรมชาติ
ในธุรกิจการค้าที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด เช่น ธุรกิจเสื้อผ้า การลดต้นทุนได้ถือเป็นสิ่งที่ได้เปรียบคู่แข่งนะครับ
อาจจะแค่ 1 หรือ 2 บาทแต่ก็สำคัญ
ด้วยรักและเคารพเพื่อนๆ ทุกท่าน
โอ